ความเป็นมาของ Aprica

 

Aprica ก่อตั้งเมื่อปี 1947 ปี โดยทีมกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น ด้วยความห่วงใยและใส่ใจเกี่ยวกับเด็กทารก เพราะถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเด็ก จึงได้ช่วยกันคิดค้นและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นอย่างพิถีพิถัน โดยมีเป้าหมายคือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเด็กและพ่อแม่ ด้วยความเชี่ยวชาญและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกว่า 70 ปี Aprica จึงได้รับการยอมรับและไว้ว่างใจอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น

  • เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น

  • ศูนย์กลางวิจัยเกี่ยวกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์เด็กตั้งอยู่ในเมืองนาราประเทศญี่ปุ่นด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านเยน

  • Aprica เป็นบริษัทแรกในโลก ที่มีการใช้หุ่นจำลองเด็กทารกขนาด 5 kg. ที่มีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านบาท โดยหุ่นจำลองนี้มีข้อต่อและอวัยวะในร่างกายเช่นเดียวกับเด็กทารก ติดตั้งเซ็นเซอร์ตัวรับสัญญาณในส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อตรวจวัดการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการกระแทกในอุบัติเหตุจำลองรูปแบบต่างๆ

  • Aprica ได้รับเกียรติให้เป็นผู้จัดทำรถเข็นและผลิตภัณฑ์เด็กรุ่นพิเศษ ภายใต้ชื่อ Royal Knot เพื่อทูลเกล้าถวายแด่ราชวงศ์ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเชื้อพระวงศ์ในอีกหลายประเทศทั่วโลก


  • ได้รับรางวัลทรงเกียรติจากสถาบันนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น

รางวัล “Naito KotobukiShichiro” รางวัลศูนย์เด็กเล็กระหว่างประเทศ
รางวัลให้คำปรึกษายอดเยี่ยมจาก รพ.สาธารณะสุขท้องถิ่นในญี่ปุ่น ได้รับการยอมรับจากหนังสือพิมพ์  “Mainichi Shimbun”
รางวัลนานาชาติเรื่องการดูแลเด็ก
รางวัล PARENTING AWARD

*รางวัล Naito KotobukiShichiro       *รางวัล PARENTING

  • เป็นผู้คิดค้นคาร์ซีทแบบนอนได้ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามวัยของทารก ซึ่งถือได้ว่าเป็นคาร์ซีทที่เหมาะสำหรับเด็กมากที่สุด

  • ได้คิดค้นรถเข็นเด็กแบบพับได้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในปี 1949

  • ทุกวันนี้ Aprica ยังคงทุ่มเทพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เด็กๆ และทุกครอบครัวมีแต่รอยยิ้มอย่างมีความสุข


About Aprica

มาตราฐานความปลอดภัยระดับสากล


เด็กแรกเกิดใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน

เพราะในระหว่างนอนสมองจะหลั่ง Growth Hormone หรือ ฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตซึ่งจะทำหน้าที่สร้างเสริมพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ

เมื่อต้องเดินทางไปในรถ เด็กควรได้รับการดูแลปกป้องเป็นพิเศษเพื่อให้การนอนหลับไม่ถูกรบกวนจากการเดินทาง ดังนั้นคาร์ซีทจึงมีส่วนสำคัญที่นอกจากจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุแล้วยังช่วยสร้างเสริมการนอนหลับได้อย่างเต็มที่ ในหลายประเทศคาร์ซีทถือเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับเด็กแรกเกิดที่มีกฏหมายบังคับใช้ และด้วยความจำเป็นนี้เอง Aprica จึงได้พัฒนาคาร์ซีทที่สามารถปรับเปลี่ยนใช้ได้ถึง 3 รูปแบบในตัวเดียวกันซึ่งจะเป็นได้ทั้งเตียงนอนเพื่อรองรับสรีระที่อ่อนบางในวัยแรกเกิดและปรับเปลี่ยนเป็นเก้าอี้นิรภัยสำหรับวัยที่เริ่มหัดนั่งและยืนได้แล้ว นอกจากนี้ Aprica ยังได้พัฒนา Junior Seat หรือ Booster สำหรับเด็กที่เริ่มโตเต็มวัยเพื่อเตรียมพร้อมการนั่งรถโดยใช้สายเข็มขัดนิรภัยเหมือนผู้ใหญ่

Aprica ได้ทำการทดสอบในการเกิดอุบัติเหตุรูปแบบต่างๆ ภายในห้องทดลองของบริษัทจนได้รับการรับรองมาตรฐานขั้นสูง

เราทำการทดสอบภายในห้องวิจัยของเราเองมากกว่า 1,000 ครั้งต่อปี เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถพัฒนา
นวัตกรรมการปกป้องเด็กทารกให้มีความปลอดภัยสูงสุด

หุ่นเด็กทารกตัวแรกของโลก ถูกใช้ในงานวิจัยเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

เพื่อให้มั่นใจว่าคาร์ซีทแบบนอนราบจะมอบความปลอดภัยที่สูงกว่าให้กับเด็กแรกเกิดทุกคน Aprica ได้พัฒนาหุ่นเด็กทารกที่มีน้ำหนัก 2.5 และ 3.4 kg.
พร้อมติดตั้งเครื่องวัดสัญญาณเพื่อให้ทราบถึงความรู้สึกต่างๆ ที่เด็กจะได้รับทดสอบการเกิดอุบัติเหตุในรูปแบบต่างๆ

ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล SG mark คือสัญลักษณ์แห่งมาตรฐานความปลอดภัยที่ช่วยให้คุณมั่นใจว่ารถเข็นของ Aprica ทุกคันได้ผ่านการตรวจสอบที่เข็มงวดโดย Consumer Product Safety Association ประเทศญี่ปุ่น จึงปลอดภัยสำหรับเด็กวัยแรกเกิดทุกคน


About Aprica

[/col] [/row]

8.3.8 Principle, the reason Behind that smile.

ที่ Aprica เราเชื่อว่าหลักการ 8.3.8 Principle คือ หัวใจหลักที่เรายึดมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่ดีเยี่ยมเพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับทุกครอบครัว


พัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กวัยแรกเกิดที่ยังไม่สมบูรณ์
8 อวัยวะและระบบในร่างกายทั้ง 8 ที่ยังอ่อนแอและบอบบาง ในช่วงวัยแรกเกิดอวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกายลูกน้อยเช่น สมอง ศีรษะ คอ กระดูกสันหลังซึ่งเป็นส่วนลำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบของเค้าจะบอบบางและอ่อนแอมาก คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความระมัดระวังและดูแลเป็นพิเศษ

 1. ศีรษะและคอที่ยังไม่แข็งแรง

3

เด็กแรกเกิดจะมีขนาดศีรษะเท่ากับ 1 ใน 4 ของร่างกาย และถือได้ว่ามีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับ ขนาดของร่างกายโดยรวม

 2. ระบบหายใจที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่

5

ทารกจะใช้ท้องเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่ช่วยในการหายใจ บ่อยครั้งเมื่อบริเวณท้องงอตัวหรือถูกกดทับจะเกิดสภาวะหายใจติดขัดได้ง่าย

3. กระดูกสันหลังที่อ่อนและเป็นเส้นตรง

เด็กแรกเกิดจะมีแนวกระดูกสันหลังเป็นเส้นตรงสะโพกสามารถเคลื่อนได้ง่าย ดังนั้นเราจึงควรดูแลจัดให้สรีระอยู่ในท่านั่งและนอนที่เหมาะสมสามารถขยับแขนและขาได้ง่ายเป็นธรรมชาติ

4. อุณหภูมิในร่างกายที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่

เด็กทารกมีความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิในร่างกายต่ำ ดังนั้นการช่วยปรับอุณหภูมิแวดล้อมให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

5. การตื่นและนอนที่ยังไม่เป็นระบบ

เด็กแรกเกิดจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน และจะเริ่มเรียนรู้ความแตกต่างของกลางวันกลางคืน เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4

6. ผิวหยังที่อ่อนโยนและขาดการปกป้อง

ผิวหนังของเด็กมีความหนาเพียงครึ่งเดียวของผิวผู้ใหญ่ จึงไวต่อสิ่งสัมผัสและแห้งง่าย ด้วยรูขุมขนที่ละเอียดเล็กจึงทำให้คลายความร้อนได้ช้า มีเหงื่อออกมาก

7. ประสาทสัมผัสที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่

ทารกจะมีระยะการมองเห็นสั้นๆเด็กจะรับรู้ข้อมูลส่วนใหญ่ผ่านการสัมผัสทางด้านร่างกาย

8. ระบบภูมิต้านทานที่อ่อนแอ

สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กในวัยแรกเกิด จะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและก่อให้เกิดภูมิแพ้ที่ติดตัวเด็กไปเป็นระยะเวลาหลายปี


3  พัฒนาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ของเด็กวัยแรกเกิด11

1.ความมั่นใจและสายใยแห่งความผูกพันธ์เกิดขึ้นได้จากกายสัมผัส
การสัมผัสด้วยการกอดและการสบตาจากแม่หรือคนรอบข้าง คือสิ่งมหัศจรรย์ที่ก่อให้เกิดความมั่นใจของลูกน้อย เมื่อแม่พยายามปลอบในเวลาที่ลูกร้อง การยิ้มตอบเมื่อแม่พูดคุยด้วย สิ่งเหล่านี้คือสายใยแห่งความผูกพันที่ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น และไว้ใจซึ่งจะนำไปสู่การเสริมสร้างให้ลูกมีบุคลิกและการแสดงออกในเชิงบวกได้


2. ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น 12
เด็กในวัยแรกเกิด – 1 ปี จะพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยการนำเข้าปาก และเมื่อย่างเข้าสู่วัยขวบปีแรก เด็กจะสนใจอยากเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยการสัมผัสและการมอง ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นนี้เองจะเป็นตัวกระตุ้น ให้เกิดการเรียนรู้และทักษะทางด้านร่างกาย การเรียนรู้โลกภายนอกด้วยการสัมผัสกับลมเบาๆและได้ยินเสียงจากธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้อย่างดี


3. รอยยิ้มจากคนรอบข้างช่วยให้หนูน้อยมีพัฒนาการในการสื่อสารและเข้าสังคมได้ดี 13
เมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่ 2 เด็กจะเริ่มรู้จักการยิ้มซึ่งถือได้ว่าเป็นพัฒนาการแรกในการเข้าสังคมด้วยการมีปฏิกริยาโต้ตอบและบอกความรู้สึกให้ผู้คนรอบข้างได้รับรู้ความสามารถในการสื่อสารขั้นพื้นฐานนี้ จะได้รับการพัฒนาโดยเริ่มจากความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกและจะค่อยๆ พัฒนาไปสู่พ่อและบุคคลรอบข้าง


8 แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการปกป้องและดูแลเด็ก

141.จัดให้อยู่ในท่านอนราบ
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดที่ดีควรปรับเปลี่ยนให้สามารถรองรับสรีระท่านอนที่เป็นธรรมชาติโดยไม่ก่อให้เกิดการปิดกั้นทางเดินหายใจ โดยเฉพาะเมื่อเด็กอยู่ในวัยแรกเกิด

2.  ปกป้องสมอง ศีรษะ คอ และกระดูกสันหลัง 15
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดที่ดีจะต้องช่วยปกป้องศีรษะจากการกระทบกระเทือนรอบข้าง และช่วยจัดให้ศีรษะและคอตั้งตรงด้วยการรองช่วงต้นคอได้อย่างพอดี

16

3.  ปรับเปลี่ยนท่าอุ้มนั่ง นอน ตามพัฒนาการของเด็ก
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดที่ดีควรสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเด็กในช่วงขวบปีแรก และควรรองรับท่านั่งและนอนได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ส่งผลต่อการขยับแขนและขาของเด็ก

4.  มีระบบระบายอากาศที่ดี ช่วยลดความอับชื้น  17
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดที่ดีควรจะมีระบบระบายอากาศและใช้วัสดุที่ช่วยลดความอับชื้นได้อย่างดี เพื่อช่วยปรับลดอุณหภูมิความร้อนในร่างกายของเด็กในวัยแรกเกิดได้

18

5.  ปกป้องลูกน้อยจากฝุ่นควันและสารที่เป็นอันตราย
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดที่ดีควรมีระดับความสูงจากพื้นที่เหมาะสมและใช้วัสดุที่สามารถถอดซักทำความสะอาดได้ง่าย เพื่อช่วยให้ทารกได้รับการปกป้องจากฝุ่นและสารที่เป็นอันตรายจากพื้น

6.  ลดแรงกระแทกและการสั่นสะเทือนได้ดี  19
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดที่ดีควรมีโครงสร้างที่แข็งแรง ลดการกระแทกและการสั่นสะเทือนได้เป็นอย่างดี เพื่อช่วยให้สมองของลูกน้อยไม่ถูกกระทบกระเทือนและหลับสบายตลอดการเดินทาง

20

7.  มุ่งเน้นให้การนอนหลับได้อย่างสบาย และเป็นระบบ
ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดที่ดีอย่างเปลไกวที่มีจังหวะการไกวที่เหมาะสมจะช่วยให้ทารกมีระดับการนอนที่สงบนิ่ง และช่วยพัฒนาช่วงเวลาการนอนในแต่ละวันให้เป็นระบบมากขึ้น

8.  ส่งเสริมให้มีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างพ่อ แม่ ลูก  21

ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดที่ดี ควรช่วยให้คุณแม่ดูแลลูกน้อยได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งนอกจากจะเสริมสร้างสายใยความผูกพันธ์ระหว่างแม่และลูกผ่านการสัมผัส การมองเห็น แล้วยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้สำหรับทารกได้อีกด้วย


About Aprica

Aprica ผลิตและคิดค้นโดยกุมารแพทย์

เพราะเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กและร่างกายของเด็กก็มีความแตกต่างจากผู้ใหญ่โดยสิ้นเชิงโดยเฉพาะในช่วงวัย 0 – 3 ปี

ซึ่งเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ที่เด็กจะมีพัฒนาการที่รวดเร็วทั้งทางร่างกายและจิตใจ และเพื่อให้เราเข้าใจถึงเหตุผลภายใต้รอยยิ้มน้อยๆ ที่ไม่สามารถสื่อสารผ่านคำพูดได้ Aprica จึงได้ศึกษาค้นคว้าโดยอาศัยหลักทาง Baby’s Pediatrics (กุมารเวชศาสตร์) ประกอบกับการประยุกษ์ใช้ Childcare Engineering (วิศวกรรมศาสตร์เพื่อการดูแลเด็ก) เพื่อนำมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่ดีเยี่ยมและเหมาะสมสำหรับทารกมากที่สุด

Baby’s Pediatrics

Baby’s Pediatrics คือการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทางด้านร่างกายและอารมณ์ของเด็กในวัยแรกเกิดอย่างลึกซึ้งผ่าน Pediatrics (กุมารเวชศาสตร์) Psychology (จิตวิทยา) และ Puericulture (ศาสตร์การดูแลสุขภาพมารดาเพื่อ ภาวะสมบรูณ์ของตัวอ่อนในครรภ์) รวมไปถึง การวิจัยการทำงานของสมองและร่างกายของเด็กทารกเพื่อนำมาสรรค์สร้างผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับเด็กวัยแรกเกิดอย่างแท้จริง


 

Childcare Engineering

Childcare Engineering คือการศึกษาสิ่งแวดล้อมและการดูแลเด็กแรกเกิดที่เหมาะสม โดยการนำองค์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกน้อยของพ่อแม่ รวมเข้ากับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการของเด็กวัยแรกเกิดอย่างแท้จริง Aprica คือผู้นำรายแรกของโลกที่มีการนำหุ่นยนต์เด็กอ่อนมาใช้ในการทดสอบผลิตภัณฑ์และวิเคราะห์การโอบอุ้มของอ้อมกอดแม่เพื่อคิดค้นอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ สำหรับเด็กที่นอกจากจะเน้นความปลอดภัยแล้วยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กวัยแรกเกิดได้ดีอีกด้วย

 

About Aprica

เพราะรอยยิ้มของคุณและลูกคือแรงบันดาลใจของเรา

จากการศึกษาวิจัยมากว่าครึ่งศตวรรษทำให้เราได้เรียนรู้ว่าสมองของเด็กวัยแรกเกิด – 3 ปี มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วทำให้สิ่งแวดล้อมรอบข้างมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาการเป็นอย่างมาก การได้สัมผัสถึงความรัก และรอยยิ้มจากคนรอบข้าง จะทำให้เด็กได้รู้จักความรู้สึกและสภาวะ ทางอารมณ์ต่างๆ ในจิตใจ ดังนั่นการได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่รวมถึงผู้คน ที่แวดล้อมจึงมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่สมบูรณ์

และด้วยเหตุนี้  Aprica จึงได้ทุ่มเทค้นคว้าวิจัย ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อ ช่วยดูแลเด็กในวัยแรกเกิดให้มีความสุข ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่และยังรองรับพัฒนาการของเด็กได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยได้สร้างรอยยิ้มร่วมกัน

วัย 0-3 ปี คือช่วงเวลามหัศจรรย์ของเด็กทุกคน ในช่วง 3 ปีแรกของทารกคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด การได้รับความรักความอบอุ่นจากคนรอบข้างคือพื้นฐานในจิตใจที่จะพัฒนาให้เด็กเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มี จิตใจดี อ่อนโยนและมีอัจริยภาพทางอารมณได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของพัฒนาการทางสมอง และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้แข็งแรงพร้อมเรียนรู้ในทุกๆ ด้าน Professor Konishi Yukuo, Baby Research Centre, Doshisha University


About Aprica

 

8พัฒนาการของทารกที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ

วัย 0-3 ปี คือช่วงเวลามหัศจรรย์ของเด็กทุกคน ช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วทั้งด้านร่างกาย สมอง และความคิด Aprica วิจัยมากว่า 70 ปี โดยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่ดีเยี่ยม ให้คุณดูแลลูกน้อยได้อย่างปลอดภัยและมีความสุขที่สุด ตามหลัก 8.3.8  ซึ่งประกอบด้วย

  • 8 พัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กทารก
  • 3 พัฒนาการทางด้านจิตใจเพื่อความสุข และ
  • 8 แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจของทารก

8 พัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กทารก จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เพื่อนำไปสู่ 3 พัฒนาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ (ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊ก) #เพราะเด็กทารกพูดไม่ได้ พ่อแม่จึงต้องเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาการที่ดี ทั้งสมองและอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้แข็งแรงพร้อมเรียนรู้ในทุกๆ ด้าน

จุดเริ่มต้นในการเคลื่อนไหวร่างกายของทารกในช่วงขวบปีแรกนั้น มาจาก กล้ามเนื้อคอ ไม่ว่าจะคว่ำ คลาน นั่ง ยืนไปจนกระทั่งเดินได้ในที่สุด และเพราะเด็กทารกในวัยแรกเกิดจะมีขนาดศีรษะเท่ากับ 1 ใน 4 ของร่างกาย ซึ่งถือได้ว่ามีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับ ขนาดของร่างกายโดยรวม จึงต้องใส่ใจดูแลต้นคอที่ต้องรับหนักศีรษะนี้เป็นพิเศษ เราควรจัดท่านอนให้ศีรษะและคอตั้งตรง และมีการประคองช่วงคอได้อย่างพอดี เพื่อพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวที่ดีของลูก

ในทารกวัยแรกเกิดจะใช้ท้องเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่ช่วยในการหายใจ และเพราะหลอดลมยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จึงอาจเกิดสภาวะหายใจติดขัด หายใจแรง หากบริเวณท้องงอตัวหรือถูกกดทับ จึงควรจัดให้ลูกนอนในท่านอนราบ ให้ช่องท้องเหยียบตรง หายใจได้ทั่วท้อง เพื่ออ๊อกซิเจนจะได้ไปเลี้ยงสมมองได้มากขึ้น

เพราะกระดูสันหลังและข้อต่อบริเวณสะโพกของทารกที่เชื่อมต่อกันแบบหลวมๆ  ทารกจึงมีแนวกระดูกสันหลังเป็นเส้นตรง และข้อต่อบริเวณสะโพกที่สามารถเคลื่อนได้ง่าย ดังนั้นคุณแม่ควรดูแลจัดสรีระร่างกายของลูกให้เหมาะสมตามช่วงวัย ทั้งในท่านั่งและท่านอน ตามหลัก Ergonomic Design for Baby โดยตำแหน่งของศีรษะและปลายเท้าต้องสัมพันธ์กัน จะช่วยให้ลูกรักไม่รู้สึกเมื่อยล้าแม้ต้องอยู่ในท่าเดิมนานๆ และสามารถขยับแขนและขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ร่างกายคนเราสามารถปรับอุณหภูมิให้สมดุลกับสภาพอากาศรอบๆ ได้ด้วยการระบายเหงื่อออกทางผิวหนัง แต่กับเด็กทารกที่ระบบควบคุมอุณหภูมิที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่เหมือนผู้ใหญ่ เมื่ออยู่ในบริเวณที่ร้อนมาก อุณหภูมิในร่างกายของเด็กก็จะสูงขึ้นได้ง่ายกว่า บวกกับรูขุมขนที่เล็ก เวลาออกนอกบ้านสภาพอากาศที่ร้อนจะยิ่งทำให้เหงื่อออกมากเป็นพิเศษ รถเข็นเด็กคู่ใจที่มีฉนวนกันความร้อนพิเศษ จะช่วยลดความร้อนสะสมบริเวณหลัง พร้อมกับช่องระบายอากาศ ให้ลูกน้อยสบายตัว ช่วยลดความอับชื้นและผดผื่นคัน

เด็กวัยแรกเกิดถึง 3 เดือน ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน เพื่อให้ทุกเซลล์ และระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายเติบโตได้อย่างเต็มที่ และจะเริ่มเรียนรู้ความแตกต่างของกลางวัน กลางคืนได้เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4 การเลือกใช้รถเข็นเด็กที่มีระบบรับรองกระแทกทั้งโครงสร้างและล้อ ซึ่งช่วยลดการสั่นสะเทือนจะช่วยให้ไม่รบกวนเวลานอนของลูกในระหว่างวัน ช่วยให้เวลาการนอนในแต่ละช่วงยาวนานขึ้นซึ่งเป็นพื้นฐานของการฝึก และเรียนรู้การตื่นและนอนให้เป็นระบบมากขึ้น

ผิวหนังของทารกมีความบอบบาง และหนาเพียงครึ่งเดียวของผิวผู้ใหญ่ ไวต่อสิ่งสัมผัส เกิดอาการแพ้ระคายเคืองได้ง่าย ควรเลือกเสื้อผ้าหรือของใช้ที่ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มนวลและระบายอากาศได้ดี จะช่วยลดความอับชื้นซึ่งเป็นต้นเหตุของการสะสมของแบคทีเรีย และเชื่อโรคต่างๆ ที่อาจสัมผัสผิวที่แพ้ง่ายของลูกโดยตรง

ทารกสามารถมองเห็นได้แต่ยังไม่ชัดค่ะ เพราะระบบการทำงานของตาทั้งสองข้างยังทำงานไม่สัมพันธ์กัน ในช่วงแรกเกิดดวงตาจะไวต่อแสงมาก คุณพ่อคุณแม่ควรระวังระมัด การปะทะแสงแดดจ้าโดยตรง เพราะหากดวงตาต้องเผชิญหน้ากับแสงแดด หรือหลอดไฟโดยไม่มีการป้องกัน รังสียูวีในแสงแดดสามารถสร้างความเสียหายให้กับเซลล์ที่จอประสาทตาได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

มลภาวะและสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่เป็นอันตราย มีผลอย่างมากต่อระบบภูมิคุ้มกันและก่อให้เกิดภูมิแพ้ที่ติดตัวเด็กไปจนโต ควรปกป้องลูกน้อยจากฝุ่นควันและสารที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะเมื่อออกนอกบ้าน การอยู่ใกล้พื้นมาเท่าไหร่ ปริมาณฝุ่นละอองสิ่งสกปรกจะมีมากขึ้นเท่านั้น รถเข็นเด็กแบบ High Seat ช่วยลดความร้อนและลดปริมาณของฝุ่นละอองในอากาศลงได้ถึง 20 %


เพราะเด็กทารกพูดไม่ได้ เราจึงต้องปกป้องและให้การดูแลเป็นพิเศษ เพื่อพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์แข็งแรง Aprica

สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยดูแลเด็กวัยแรกเกิดให้มีความสุข ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย
#รถเข็นเด็กยอดขายอันดับ1ในญี่ปุ่น
#Aprica70ปีที่ใส่ใจคุณและลูกน้อย
#เพราะทารกบอกความต้องการไม่ได้
#เลือกApricaดีที่สุด

อ่านเพิ่มเติม
3 พัฒนาการทางด้านจิตใจเพื่อความสุข และ
8 แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจของทารก

พาลูกเที่ยว…ได้อะไรมากกว่าที่คิด

หนาวนี้แม่ๆ มีแพลนพาลูกๆ ไปเที่ยวที่ไหนกันคะ…

สำหรับบ้านนี้ เราจะไปญี่ปุ่นกันค่ะ เราแพลนและจองตั๋วกันไว้ตั้งแต่ พ.ย. ที่แล้ว เลือกไปช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จุดหมายคือ อยากพาลูกสาว น้องเจเปค ไปดูภูเขาไฟภูจิและเดินเที่ยวในโตเกียว อยากให้เค้าเห็นการใช้ชีวิตที่เป็นระเบียบมากๆ ของคนญี่ปุ่นค่ะ (เพราะอยู่บ้านนางจะกรี๊ดกร๊าดหน่อยๆ)

ควรพาลูกเที่ยวตอนอายุเท่าไหร่…

เป็นคำถามที่แม่ๆ กังวล กลัวนู้นนี่ รวมถึงเสียงจากรอบข้างว่าน้องยังเล็ก เที่ยวไปก็จำอะไรไม่ได้ แต่บ้างบ้านก็อยากใช้สิทธิ์ค่าตั๋วราคาพิเศษสำหรับเด็ก 7 วัน – ไม่เกิน 2 ปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสายการบิน สำหรับน้องเจเปค ครั้งนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งที่ 2

ขอเล่าย้อนหลังนิดนึงค่ะ  ครั้งแรกของน้องไปตอน 1 ขวบ 1 เดือน เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่โอซาก้า  อย่างที่บอกไปตอนต้น ว่าเสียงรอบ ๆ ตัวที่บอกว่าน้องยังเล็กไป พาไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก จำอะไรไม่ได้หรอก  แต่หลังจากกลับมาจากรอบแรก หลายครั้งที่น้องเจออะไรเกี่ยวกับที่ตัวเองเคยทำที่นู่น ไม่ว่าจะเป็นขึ้นรถไฟ โหนรถไฟ ใบไม้แดง อาหารญี่ปุ่น น้องจำได้เยอะจนทุกคนงงไปเหมือนกัน เราพ่อแม่ก็แฮปปี้สิคะ

จริงๆแล้วลูกสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้ แต่อาจจะจำได้ไม่ละเอียดเหมือนผู้ใหญ่  เด็กวัย 1-3 ปี เป็นวัยทองแห่งการเรียนรู้ ความเฉลียวฉลาด และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากพ่อแม่ เพื่อให้สมองเติบโตมีพัฒนาการเต็มศักยภาพ  เราเลยตั้งใจว่าจะพยายามพาลูกไปเก็บประสบการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

รอบนี้เลยตั้งใจใช้ช่วงเวลาปิดเทอมพาน้องไปเที่ยว  โดยทริปนี้มีสมาชิกทั้งหมดเป็นผู้ใหญ่ 5 คน เด็ก 1 คน โดยทริปนี้ เราไปกับแบบแพลนหลวม ๆ แล้วไปปรับเอาตามสภาพอากาศและ ความพร้อมของเด็กน้อย  ซึ่งคราวนี้อะไรๆก็อาจจะไม่ง่ายเหมือนคราวที่แล้วนะคะ เพราะไปคราวที่แล้วนางยังเดินไม่ได้และพูดไม่ได้   แต่คราวนี้สิคะคุณขา ทั้งซน ทั้งแสบ ทั้งวิ่ง ทั้งพูดเยอะ โอยไม่อยากจะคิดเลยค่ะ  ฮ่าๆๆๆ  พ่อกับแม่เลยต้องเตรียมตัวทั้งสุขภาพกายและสุภาพใจให้พร้อมกันพอสมควร   และนอกจากนี้อุปกรณ์ของใช้สำหรับเด็กก็ควรจะเตรียมให้พร้อมไว้ก่อนเพื่อความสะดวกในการเดินทางค่ะ

เริ่มจัดกระเป๋ากันค่ะ

  1. เสื้อผ้า เนื่องจากช่วงที่ไป เชคอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 8-20 องศา ซึ่งก็ถือว่าเย็นพอสมควรสำหรับเด็กค่ะ แถมยังมีฝนในบางวันอีกด้วย สำหรับเสื้อผ้ากันหนาวเด็กที่เราเลือกดูคือ Uniqlo ค่ะ เพราะค่อนข้างครบ และสะดวกสำหรับที่บ้านเรา ได้เสื้อกันลมและกันหนาวมา 1 ตัว พร้อมเสื้อฮีทเทคคอเต่า 1 ตัว เสื้อ extra warm ฮีทเทค 1 ตัว และกางเกงฮีทเทคอีก 2 ตัว ค่ะ  ส่วนเสื้อผ้าอื่น ๆ ก็เน้นที่ใส่สบายตัว ไม่อึดอัด เอาตามแบบที่น้องชอบเลยค่ะ  เสื้อกันหนาวน้องแบบนี้เลยค่ะ ด้านในมีฮีทเทคทั้งกางเกงและเสื้อ สบายค่า
  2. อุปกรณ์กันหนาวอื่นๆเราเตรียม ถุงมือกันหนาว หมวกไหมพรหม ผ้าพันคอ ถุงเท้า  และรองเท้าผ้าใบที่น้องใส่สบายค่ะ
  3. ของใช้ส่วนตัวก็จะเตรียมแพมเพิสไว้สำหรับการเดินทางบนเครื่องบินและรถไฟ ซึ่งเป็นตัวช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ลดความวุ่นวายระหว่างเดินทางได้ดีเลยค่ะ นอกจากนี้ก็จะมีเจลล้างมือสำหรับเด็ก ทิชชูเปียก และยา ที่จะติดกระเป๋าแม่อยู่ตลอดเวลาค่ะ
  4. ยา ที่เตรียมไปหลัก ๆ ก็จะมี ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก (Zyrtec) ยาลดไข้ (Tempra) ยาแก้ไอ vic แผ่นแปะลดใข้  ยาแก้ท้องเสีย
  5. รถเข็นเด็ก เรื่องใหญ่สำหรับการพาเด็กเล็กเที่ยวต่างประเทศกันเลยค่ะ  สำหรับเด็ก 4 ขวบ รถเข็นยังเด็กเป็นสิ่งจำเป็นมากในการท่องเที่ยวแบบนี้อยู่นะคะ เพราะน้องยังไม่สามารถเดินไกล ๆ แบบผู้ใหญ่ได้ หากเหนื่อยหรืองอแงขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่คงต้องอุ้มด้วยแล้วเดินกันไปด้วยวันเป็นสิบกิโล คงไม่ไหวค่ะ หมดสนุกแน่นอน

แต่ด้วยความที่มีประสบการณ์จากครั้งแรกตอนขวบนึงมาแล้ว ครั้งนั้นใช้รถเข็นคันใหญ่ น้ำหนักเยอะ พับยาก ไม่คล่องในการเดินทางเอาซะเลยค่ะ บางสถานีรถไฟในญี่ปุ่นไม่มีลิฟท์ ทำให้ต้องยกรถกันเหนื่อยเลย

ไปครั้งนี้เราเลยเลือกรถเข็นเด็กกันพอสมควรค่ะ ดูกันหลายแบรนด์ ทั้งที่พับได้เล็กมาก ๆ พับไม่เล็ก แต่เบากว่า   ซึ่งสุดท้ายเราเลือกรุ่นที่มีน้ำหนักเบาที่สุด แข็งแรง ล้อใหญ่ และสามารถพับง่ายได้ด้วยมือเดียว ซึ่งน่าจะสะดวกกับการเดินทางของเรามากที่สุด นั่นคือตัว Aprica Magical Air Plus High Seat โดยมีน้ำหนักแค่ประมาณ 3 กิโลกรัมนิดๆเองค่ะ  แข็งแรงไว้ใจได้ ปรับนอนได้อย่างสบาย และในบางจังหวะคุณแม่สายสตรองอย่างเราสามารถหิ้วรถเข็นมือนึง และอุ้มลูกอีกมือนึง ได้สบายๆเลยล่ะค่ะ

ฝนตกก็บ่ยั่น ลุยลงพื้นขรุขระก็สบายค่ะ

ตัวหนอนก็ไปได้

นอนดูฟูจิเพลินไปเลย

รถเข็นเด็กเอาขึ้นเครื่องบินยังไง

เราสามารถเข็นรถไปแจ้งที่เค้าเตอร์เชคอินของสายการบินได้เลย ว่าเราต้องการเข็นรถเข็นน้องเข้าไปในเกตได้เลยค่ะ  เจ้าหน้าที่ก็จะติด Tag ที่รถเข็นให้ หลังจากนั้นเราก็เข็นน้องเข้าไปได้จนถึงประตูเครื่องบินเลยค่ะ อันนี้สะดวกมากๆ ไม่ต้องอุ้มให้เปลืองพลังงาน สบายไปแปดอย่างเลยค่ะ พอถึงปลายทาง เดินออกจากเครื่อง รถเข็นก็จะมารอ พร้อมลุยกันได้เลย

เรื่องความกังวลในการเดินทางบนเครื่องบิน

อันนี้ยอมรับว่าแม่กังวลมากเลยค่ะ  จากคราวที่แล้วที่พาขึ้นเครื่องตอนน้องอายุ 1ขวบ1เดือน น้องยังพูดไม่คล่อง ยังเดินไม่ได้ ใช้เบาะนอนสำหรับเด็กบ้าง การหลอกล่อเด็กน้อยจึงไม่ใช่เรื่องยาก  แต่ทริปนี้ด้วยความที่น้องโตขึ้น และมีความแสบสัน ระดับ 8  มีความพูดเยอะระดับ10   การเดินทางยาว 6 ชม. ในเครื่องบินของนางจึงเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวต่อการรักษาความสงบภายในห้องผู้โดยสารเป็นอย่างมาก

ทางเรานั้นคิดวิธีต่างๆนาๆ ที่จะทำให้นางนิ่ง ซนน้อยๆ พูดเบาๆ  สิ่งที่บ้านเราเตรียมไว้สำหรับ final choice คือ โหลดการ์ตูนที่น้องชอบมาเผื่อไว้แบบเต็มพิกัดกันไปเลยค่ะ เอาแบบอยากดูอะไรเต็มที่ไปเลยให้โอกาสแค่ 6 ชม.นี้เท่านั้น ฮ่าๆๆ      แต่พอถึงเวลาจริง พอเครื่องเริ่มเทคออฟ เจ้าแสบน้อยกลับมาเกาะแขนป่ะป๊า กลัวเสียงดังของเครื่องบิน แล้วก็หลับไปเฉยเลย  ตื่นอีกทีหลังจากบินไปแล้วครึ่งทาง โอ้ว..โลกสงบสุขกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ    เวลาที่เหลือก็หลอกล่อด้วย ขนมบ้าง ของเล่นบ้าง  การ์ตูนบ้าง สลับวนๆไปค่ะ   สรุปว่าการรักษาความสงบภายในเครื่องบินของเราครั้งนี้ดีเกินคาด คลายความกังวลไปเลยค่ะ  เกาะแขนแน่นเลย

แล้วนางก็ตีตั๋วนอนค่ะ ป่ะป๊าก็ลุกเดินวนไป

เรื่องสำคัญของพวกเรา “อาหารการกิน”

ในช่วงก่อนเดินทาง เราคุยกับน้องทุกวันว่าอยู่นู่นเราต้องกินง่ายๆ อยู่ง่ายๆนะคะ จะได้ไปเที่ยวกันสนุก ๆ กินอะไรก็ได้ กินที่ไหนก็ได้  ซึ่งตอนแรกก็ห่วงกันว่าจะต้องกินข้าวเปล่ากับไข่ต้มกันยาว ๆ รึเปล่า แต่สุดท้ายความกังวลทุกอย่างก็หมดไป น้องกินแหลกมากค่ะ ซูชิ อุด้งราเมน ข้าวปั้นจิ้มไข่กุ้งกับไข่แซลมอน (ซื้อไข่เป็นกล่องตาม supermarket) ปลาดิบ กุ้งหวาน ข้าวหน้าปลาไหล ไอติม ผลไม้สด  บางวันก่อนนอนยังร้องกินโอเด้ง 7 อุ่น ๆ ปิดท้ายวัน สายแหลกมากๆ ไม่ต้องเดาเลยว่าลูกใคร  ฮ่าๆๆๆๆ

มื้อแรกที่โตเกียว หน้าตาง่วงมาก แต่ก็ซดหมด
ร้องกินติมจ้า แถมยังบอกอีกว่า ดีเนอะแม่ ไอติมไม่ละลาย

ข้าวหน้าปลาไหลครึ่งชาม และ กินมาม่าครั้งแรก ก็ที่นี่ล่ะค่า

มีรูปครอบครัวแล้ว

น้องเจเปค สาวน้อยวัย 4 ขวบ จะพาเที่ยวญี่ปุ่นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่กำลังงามสะพรั่ง แนะนำการเตรียมตัวพาลูกเที่ยว ตั้งแต่จัดกระเป๋า อุปกรณ์กันหนาว และรถเข็นเด็กคู่ใจ ตามรีวิวนี้ได้ที่ https://pantip.com/topic/37072412 และฝากติดตามเพจพาลูกเที่ยว https://www.facebook.com/goaroundkid/

ขอบคุณรีวิวน้องเจเปคกับรถเข็นเด็ก Aprica รุ่น Magical Air Plus Highseat ที่ช่วยให้การเดินทางทริปนี้สะดวกสบาย และคล่องตัวมากๆค่ะ

…ข้อแนะนำ…

รถเข็นเด็กเป็นสิ่งจำเป็นมาก เมื่อต้องไปต่างประเทศ ควรเลือกแบบที่พับกางง่าย เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง นอกจากนี้ความสบายของเด็กๆ ก็สำคัญเช่นกัน ต้องเป็นผ้าระบายอากาศ ไม่ร้อน ปรับเอนนอนได้ ถ้าเด็กๆ สบายตัว ไม่อึดอัด เขาก็จะสนุก มีความสุข ไม่งอแง ปิดเทอมนี้จัดทริปเลยค่ะ สนุกแน่นอน

#รถเข็นเด็กยอดขายอันดับ1ในญี่ปุ่น

#Aprica70ปีที่ใส่ใจคุณและลูกน้อย

การเลือกรถเข็นเด็ก เลี้ยงลูกตามใจหมอ

รถเข็นเด็กยี่ห้อไหน ที่หมอเด็กเลือกให้ลูกตัวเอง โดยหมอวิน เพจ เลี้ยงลูกตามใจหมอ

#รถเข็นเด็ก และ #สิ่งพึงกระทำ
#อุปกรณ์ยังชีพสำหรับแม่สายชิล

บอกก่อนเลยว่า รถเข็นเด็ก นั้นเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ได้จำเป็นครับ หากมองในแง่ของการเลี้ยงดูและความปลอดภัย ไม่เหมือนคาร์ซีท ที่จำเป็นมาก ๆ ๆ (ไม้ยมก … ล้านตัว)

แต่ “รถเข็นเด็ก” ก็เป็น gadget ที่ยากจะปฏิเสธ เพราะมันทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะมากครับ แต่ถ้าใครเป็นสายอุ้ม … อุ้มโลดจ้ะ แต่มันก็จะเมื่อยถึงเมื่อยมาก จริง ๆ… ดังนั้นเลือกรถเข็นเด็กที่เหมาะกับเงินในกระเป๋า และความสบายตัวของลูกละกันครับ

รถเข็นเด็ก …ประโยชน์

  • ทำให้ลูกสามารถหลับได้ยามง่วงตอนไปนอกบ้าน
  • ทำให้พ่อแม่ไม่เมื่อยมืออุ้มในเด็กเล็ก เวลาลูกเมื่อยและเหนื่อยในวัยเดินได้
  • เราสามารถพาลูกไปเที่ยวได้และมั่นใจว่าลูกจะไม่วิ่งจู๊ดไปไหนจนเกิดอุบัติเหตุครับ … เพราะถูกล็อคเบื้องต้นบนรถเข็นเด็ก ทำให้ดูแลง่าย
  • ที่เด็ดที่สุดในความคิดของภรรยาหมอ คือ เอาไว้วางถุงช้อปปิ้งด้วย 555 … ไม่เมื่อยมือดี

แต่อย่างไรก็ตาม … มีการรายงานว่า สามารถเกิดอุบัติเหตุได้หากใช้รถเข็นเด็กแบบไม่เหมาะสมครับ มีหลายเคสที่มาด้วยรถคว่ำหรือไหลจากที่สูงจนคว่ำทำให้หัวลูกกระแทกพื้นได้ครับ … จน AAP หรือสมาคมกุมารเวชศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกาต้องออกมาแนะนำรถเข็นเด็ก ว่าสิ่งที่พ่อแม่พึงกระทำยามใช้รถเข็นเด็กครับ……นั่นคือ

  1. ใช้สายรัดทุกครั้งเมื่อวางเด็กในรถเข็นเด็ก ตามคู่มือของรถเข็นเด็กชนิดนั้น ๆ
  2. กรุณาใส่ของใช้ เช่น ผ้าอ้อม กระเป๋า ที่ตระกร้าใต้รถ “อย่าแขวนไว้ตรงแฮนด์รถเข็น” เพราะอาจทำให้รถพลิกคว่ำได้
  3. ใส่เบรคทุกครั้งที่จอด เพื่อป้องกันไม่ให้รถไหล
  4. ใช้งานตามอายุและน้ำหนักที่แนะนำของรถเข็นเด็กแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ
  5. อย่าใช้รถเข็นเด็กเป็นเตียงนอนในเด็กอายุต่ำกว่า 4 เดือนครับ เพราะเด็กยังตัวเล็กมาก และสามารถเลื่อนตัวจนทำให้จมูกถูกอุด จนหายใจไม่ออกได้ครับข้อ 6-10 พ่อหมอเพิ่มเติมเอง ตามการใช้งานจริงของรถเข็นที่บ้านครับ เพื่อความสะดวกละครับ (1-5 เป็นคำแนะนำของอเมริกา)
  6. ปรับนอนราบได้ บางรุ่นปรับได้เกือบราบ (170 องศา) โดยเฉพาะในเด็กแรกเกิดเพราะคอยังไม่แข็งแรง นอนง่าย และ หลับสบาย
  7. มีแผ่นรองคอและรองหลัง เป็นสิ่งที่ดีครับสำหรับเด็กแรกเกิด จะป้องกันไม่ให้หัวและสันหลังโงกเงกครับ เพราะคอยังไม่แข็ง บางยี่ห้อให้มาเลย บางยี่ห้อไม่มี ต้องไปซื้อเพิ่มมาเองครับ ลองดู พ่อหมอว่า มีก็ดีครับ
  8. หมุนได้สี่ล้อ … กลับหน้าหลังได้ อันนี้เพื่อความสะดวกสบายของคนเข็นครับ และเข็นได้ลื่นกว่า …ส่วนที่ควรกลับหน้าหลังได้ก็เพื่อให้ลูกเห็นหน้าแม่ แม่มองหน้าลูกได้ตอนเข็นครับ บางยี่ห้อกลับหน้าหลังไม่ได้ บางยี่ห้อใช้วิธียกส่วนที่นอนกลับหน้าหลังเอง บางยี่ห้อแค่โยกด้ามจับเข็นก็กลับได้แล้ว
  9. น้ำหนักควรเบา เพราะถ้าหนัก คุณแม่จะยกเข้าออกรถได้ยากครับ ที่พ่อหมอใช้หรือเพื่อน ๆ ใช้กันจะน้อยกว่า 6-7 กิโล ไม่ควรเกินนี้ หากเยอะกว่านี้ยกยากไปละ กล้ามขึ้น 555
  10. เพื่อความชิลของเบบี๋ของเรา อาจจะมีออปชั่นอื่น ๆ เพิ่มอีก เช่น
  • high chair คือ ระดับของรถสูง >50 ซม. ลดฝุ่นและสิ่งสกปรกจากพื้นได้
  • มีหลังคาคลุมกันแสงแดดและ UV
  • น้ำหนักเบา
  • โครงสร้างโปร่งสบาย ระบายอากาศได้ดี เพื่อความเย็นสบายของลูกครับ … เพราะบ้านเราเป็นเมืองร้อนเนอะ ฯลฯ

และทิ้งท้ายครับ ปัจจุบันพ่อแม่หลายคนนิยม รถเข็นเด็กแบบพับเล็ก ๆ ที่จับเป็นแบบก้าน ซึ่งดีในแง่การเดินทางและเอาขึ้นเครื่องเนอะ แต่หมอขอแนะนำแบบนี้ครับ

รถเข็นเด็กพับเล็กไม่เหมาะกับเด็กแรกเกิดครับ เพราะไม่มีที่รองคอ และที่นั่งมักทำให้เด็ก fix กับที่ไม่ค่อยได้ครับ รอโตกว่านี้ตอนจะไปเที่ยวต่างประเทศค่อยว่ากันครับ แต่หากลูกยังเล็กแนะนำอันที่แข็งแรงมีที่รองคอดีกว่าเนอะ …

ร้าน Baby Gift ตัวแทนจำหน่ายรถเข็นเด็ก Aprica แบรนด์ดังจากญี่ปุ่นที่เหมาะกับคนเอเชียอย่างเรา ๆ เขาฝากมาประชาสัมพันธ์

รถเข็นเด็กด้วยนะจ๊ะ (ลูกหมอก็ใช้ยี่ห้อ Aprica อยู่ครับ ใช้โอเคเลยภรรยาบอก เพราะหมอเป็นสายอุ้มมากกว่าสายเข็น) ลองเข้าไปดูรายละเอียดและเลือกซื้อที่www.babygiftretail.com ได้นะครับ

#หมอวินเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ

ข้อมูลดีๆ จาก #หมอวินเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ

Aprica รถเข็นเด็ก สำหรับวัยแรกเกิดอย่างแท้จริงๆ คิดค้นและวิจัยโดยกุมารแพทย์ จากประเทศญี่ปุ่น

คุณหมอวิน เลือกรถเข็นเด็กแรกเกิด Aprica Luxuna Series

ร่วมฉลองความยิ่งใหญ่ ครบรอบ 70 ปี Aprica

เป็นเวลากว่า 70 ปีแล้ว ที่  Aprica ได้เป็นผู้ผลิตชั้นนำของ รถเข็นเด็ก คาร์ซีท และ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอื่นๆ ผลิตและคิดค้นวิจัยโดยทีมกุมารแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น ที่นำเทคโนโลยีในหลายๆ ด้านมาใส่ในรถเข็นและคาร์ซีท  ภายใต้คอนเซ็ป The reason behind that smile ผลิตภัณฑ์ สำหรับเด็กที่ดีเยี่ยมเพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับทุกครอบครัว

ประวัติความเป็นมาของ Aprica ที่คุณอาจไม่เคยรู้

  1. Aprica ก่อตั้งในปี 1947 ด้วยความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการดูแลเด็กทารกให้มีคุณภาพสูงสุด

  1. ได้รับความไว้วางใจจากคุณแม่ชาวญี่ปุ่นและนานาชาติมากว่า 70 ปี

  1. เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น

  1. ศูนย์กลางวิจัยเกี่ยวกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์เด็กตั้งอยู่ในเมืองนาราประเทศญี่ปุ่นด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านเยน

  1. Aprica เป็นบริษัทแรกในโลก ที่มีการใช้หุ่นจำลองเด็กทารกขนาด 2.5 kg. ที่มีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านบาท โดยหุ่นจำลองนี้มีข้อต่อและอวัยวะในร่างกายเช่นเดียวกับเด็กทารก ติดตั้งเซ็นเซอร์ตัวรับสัญญาณในส่วน ต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อตรวจวัดการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการกระแทกในอุบัติเหตุจำลองรูปแบบต่างๆ

  1. Aprica ได้รับเกียรติให้เป็นผู้จัดทำรถเข็นและผลิตภัณฑ์เด็กรุ่นพิเศษ ภายใต้ชื่อ Royal Knot เพื่อทูลเกล้าถวายแด่ราชวงศ์ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเชื้อพระวงศ์ในอีกหลายประเทศทั่วโลก

  1. ได้รับรางวัลทรงเกียรติจากสถาบันนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น
  • รางวัล “Naito KotobukiShichiro” รางวัลศูนย์เด็กเล็กระหว่างประเทศ
  • รางวัลให้คำปรึกษายอดเยี่ยมจาก รพ.สาธรณะสุขท้องถิ่นในญี่ปุ่น
  • ได้รับการยอมรับจากหนังสือพิมพ์ “Mainichi Shimbun”
  • รางวัลนานาชาติเรื่องการดูแลเด็ก
  • รางวัล PARENTING AWARD

  1. เป็นผู้คิดค้นคาร์ซีทแบบนอนได้ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามวัยของทารก ซึ่งถือได้ว่าเป็นคาร์ซีทที่เหมาะสำหรับเด็กมากที่สุด

  1. ได้คิดค้นรถเข็นเด็กแบบพับได้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในปี 1949

  1. ทุกวันนี้ Aprica ยังคงทุ่มเทพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแรกเกิดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เด็กๆ และทุกครอบครัวมีแต่รอยยิ้มอย่างมีความสุข

พบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ร่วมฉลอง Aprica เข้าสู่ปีที่ 70 อย่างยิ่งใหญ่ กับโปรโมชั่นสุดคุ้ม เลือกช้อปได้ที่ Baby Gift ทุกสาขา รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกเลย : BabyGiftRetail

รีวิวรถเข็นเด็กที่ทุกบ้านควรมี Aprica Magical Air Plus Highseat

สวัสดีค่ะ ^_^  อุปกรณ์คู่ใจของแม่ ๆ สุดสตรองทุกท่านก็คงหนีไม่พ้น “รถเข็นเด็ก” จริงไหมคะ..? ส่วนตัวมดเอง ลองใช้รถเข็นมาหลายยี่ห้อ แต่ตอนนี้บ้านเรากำลังจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหลายวัน รถเข็นคันเดิมเริ่มไม่ตอบโจทย์เรื่องการพกพาอีกต่อไปแล้ว เพราะแค่ของใช้ก็เต็มรถแล้วค่ะ เราจึงมีโจทย์ในการหารถเข็นคันใหม่ว่า ต้องมีน้ำหนักเบา พับเก็บง่าย และแน่นอนว่าต้องเป็นแบรนด์ดังที่แม่ ๆ ไว้ใจ

เหมือนสวรรค์มีตา 555 เพราะไม่กี่วันต่อมา เราก็ไปเจอใน IG คุณโอปอล์ว่า เพิ่งถอยรถเข็นใหม่ให้น้องอลิน อลันเหมือนกัน แถมยังเชียร์ว่ามันเบา ใช้งานสะดวกมากกก คุณแม่ขาช็อปอย่างเราก็ไม่รอช้าค่ะ ไปซื้อตามด่วน ๆ

คุณโอปอล์ซื้อรถเข็นจากร้าน BABYGIFT ค่ะ มดเองไม่มีเวลาไปที่ร้าน เลยสั่งซื้อออนไลน์ กดสั่งปุ๊บ รอไม่นานก็มีน้องเสียงสวยโทรมานัดวันจัดส่งทันที 2 วันก็ได้ของค่ะ สะดวกมากก

แล้วเราก็ได้รถเข็นที่ตอบโจทย์การใช้งานมา 1 คัน และนี่คือ Aprica Magical Air Plus Highseat” รุ่นนี้มีจุดเด่นตรงที่ เล็ก และน้ำหนักเบา ที่สุด  ตัวนี้เค้าแนะนำสำหรับเด็กไม่เกิน 15 โล แต่ลูกบ้านนี้หนัก 16 โลก็ยังนั่งสบาย ๆ เลยค่ะ ราคาอยู่ที่  10,335 บาท

อย่างที่ทราบกันดีว่า “ถ้ารถเข็นต้อง Aprica”  ดังนั้นเค้าจึงมีความพิเศษค่ะ
รุ่นนี้น้ำหนักเบาเพียง
3.3 kg ถือมือเดียวได้สบาย ๆ และที่นั่งเป็นแบบ High Seat สูงจากพื้นดิน 52 cm. ซึ่งจะทำให้ฝุ่นละอองและความร้อนจากพื้นนั้นห่างจากลูกยิ่งขึ้น แถมยังสามารถพับเก็บได้แบบ One Step และล้อทั้ง 4 ก็จะติดกับพื้น ลากได้สบาย ๆ ค่ะ จะขึ้นรถ ลงเรือ เดินทางกันสองคนแม่ลูกก็ไม่เป็นอุปสรรค ชิลล์ไปอีกกก

เวลาพับเก็บจะประมาณนี้ค่ะ ล้อติดกับพื้นลากได้เลย

ตัวพนักพิงค่อนข้างกว้าง แถมยังปรับเอนได้ นั่งสบาย
มี
Belt ถึง 5 จุด เด็กซนมากก็เอาอยู่ค่ะ

ที่กั้นหน้ารถเปิดออกได้ อุ้มลูกขึ้นลงได้สะดวกค่ะ

ความพิเศษอีกอย่างของรุ่น Plus ก็คือ ในส่วนของหลังคาบังแดดจะใหญ่ขึ้น ช่วยกัน UVได้ดีขึ้น และมีม่านตาข่ายที่ช่วยระบายอากาศและความร้อนได้เป็นอย่างดี และสามารถมองวิวทิวทัศน์ได้สบาย ๆ แถมยังมีช่องระบายความร้อนที่มาพร้อมฉนวนกันความร้อนพิเศษ จะทำหน้าที่สะท้อนความร้อน ไม่ให้สะสมที่หลังของลูก ดังนั้นไม่ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน เค้าก็ยังสบายตัวแน่นอนค่ะ

ช่องเก็บของ ขนาดกำลังพอดีค่ะ ปกติบ้านนี้เอาไว้ใส่ขวดน้ำ ทิชชู่เปียก

อันนี้ไม่ใช่ล้อหักนะคะ แต่ร้านเค้าบอกว่ามันคือล้อระบบ 3D Suspension ที่จะปรับเอียงองศาเพื่อรักษาสมดุลของที่นั่ง ช่วยลดแรงกระแทกเหมือนโช๊คอย่างนึง ทำให้ลูกนั่งได้สบายมากขึ้น เริ่ดมากก

จากที่ใช้มาสักพัก ก็รู้สึกประทับใจและอยากแนะนำต่อค่ะ เราสองคนแม่ลูกไปไหนกันเองได้สะดวกขึ้น ด้วยการพับเก็บแบบ One Step ที่เค้ามีให้ พับกางมือเดียวไม่เสียเวลาเลยค่ะ ขึ้น BTSหนีรถติดกันประจำ ฮ่า ๆ บอกได้เลยว่า คนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวต้องมีไว้! และความเป็น High Seat ก็ทำให้แม่เชื่อมั่นขึ้นไปอีก ว่าเหมาะกับเมืองที่อากาศร้อนและฝุ่นเยอะอย่างไทยมากกกนอกจากนี้จะถอดเบาะซัก ทำความสะอาดก็ง่าย เอาเป็นว่าปลื้มมมม รถเข็นนี่เป็นของที่ไม่ต้องซื้อกันบ่อย ๆ เพราะฉะนั้นจะซื้อซักคันก็ควรเลือกที่คุณภาพดี คุ้มค่านะคะ

สุดท้ายนี้ถ้าคุณแม่สนใจรถเข็นเด็ก หรืออุปกรณ์อื่น ๆ สำหรับแม่และเด็ก สามารถเลือกชมได้ทาง www.babygiftretail.com นะคะ

เขียนโดย Natthanya Wongkhajornklaiขอบคุณแหล่งที่มาจาก : adaywithminimilin